เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ เม.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรามาทำบุญนะ ทำบุญจิตใจเป็นบัณฑิต เวลามงคลชีวิตนะ “อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา” เวลาสวดมนต์บ้าน เขาใช้มงคลชีวิตนี่สวดทุกวัน ทุกวันเวลาไปทำบุญบ้านไง อเสวนา จ พาลานํ ไม่คบคนพาล ให้คบบัณฑิต ฉะนั้น สังคมเราชาวพุทธ เห็นไหม เวลาเรามีลูก มีหลาน เราก็อยากให้ลูกเราเป็นบัณฑิต ถ้าอยากให้ลูกเป็นบัณฑิต ให้เอาลูกมาวัดมาวา มาซึมซับความเป็นวัฒนธรรมของเรา โตขึ้นมาเราได้บวชได้เรียนเพื่ออยากให้เป็นบัณฑิต

ถ้าเป็นบัณฑิต เห็นไหม เราเป็นบัณฑิต บัณฑิตเพราะอะไร? บัณฑิตเพราะว่าถ้าพูดถึงเวลาบวชเรียนแล้วเป็นบัณฑิต นี่บริหารทิศ ทิศคือบัณฑิต คบคนเทียมมิตร มิตรแท้ มิตรเทียม ในนวโกวาทสอนไว้หมด ในพระไตรปิฎกจะสอนไว้นะว่าเราควรจะดำรงชีวิตอย่างไร ชีวิตของเราจะดำเนินอย่างไร ในสังคมโลก ดูสิเวลาเราเกิดในวัฏฏะ เราอยู่ในทะเล กว่าเราจะเข้าฝั่งได้ ในทะเลมันมีฉลาม มันมีสัตว์ร้ายที่คอยจะทำลายเรา นี่ไงวัฏฏะ ชีวิตในวัฏฏะนะ

ทีนี้ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกัน การดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์เรามันผ่านวิกฤติอะไรบ้าง ออกไปเผชิญกับโลก โลกมันเป็นแบบไหน? นี่มงคลชีวิตสอนอย่างนั้น ถ้ามงคลชีวิตสอนอย่างนั้น เราเอาลูกมาบวชมาเรียนก็อยากให้เป็นบัณฑิต ถ้าเป็นบัณฑิตแล้ว บัณฑิตมันเป็นที่ไหนล่ะ? เวลาลูกไปบวชไปเรียน บวชเรียนเพื่ออะไร? ให้ศึกษา ศึกษา ถ้าเรามองถึงประเพณีวัฒนธรรมมันก็เหมือนโลก

ประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ใครศึกษามันหรือไม่ศึกษามันล่ะ? ทีนี้ถ้าเราไปศึกษามันธรรมะก็เป็นธรรมชาติ ชีวิตนี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ถ้าเราศึกษานะ เราศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราต้องทดสอบ ถ้าทดสอบมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นความรู้จริงเห็นจริงในหัวใจนั้น

ถ้าเป็นความรู้จริงเห็นจริงในหัวใจนั้น เวลาเราบวชเรียนมา ลูกเราไปบวชไปเรียนแล้วออกมาทำไมบางคนก็เป็นคนดีมาก บางคนบวชเรียนแล้วยิ่งออกมาเกเรขึ้นไป เห็นไหม เพราะตรงนี้ไง ตรงที่ว่า ถ้าพูดถึงเราศึกษาแล้วเราก็ศึกษา ศึกษามันก็เป็นเปลือกใช่ไหม? วัฒนธรรมคือวัฒนธรรมใช่ไหม? แต่ถ้าเราได้ศึกษา แล้วเรามีสติปัญญา เราได้พยายามฝึกฝนตัวเรา ฝึกฝนตัวเรามันเห็นจริงไง เวลาเราแบมือขอเงินจากพ่อแม่นะ เราใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพราะเราได้เงินมาด้วยความสะดวกสบาย แต่ถ้าเราทำมาหากินเราได้เงินเรามาเองนะ เรากระเหม็ดกระแหม่นะ เงินนี้หามาได้ยาก

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบมือขอเอา นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ขอเอา ศึกษาเอาก็เปิดตู้พระไตรปิฎกเมื่อไหร่ตู้พระไตรปิฎกก็ไม่วิ่งหนีเราไปไหน แต่ถ้าเราทำของเราเองขึ้นมา เวลาเราตั้งสติขึ้นมาจะให้จิตมันสงบ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาแล้วเราจะเห็นคุณค่าของคำว่าจิตสงบกับจิตฟุ้งซ่าน

เวลาเราเกิดปัญญาขึ้นมา เราจะเห็นคุณค่าของปัญญาว่าโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่ชำระกิเลส ปัญญาที่เหนี่ยวรั้งหัวใจเอาไว้ในอำนาจของเรา กับปัญญาที่มันกระตุ้น กระตุ้นให้มันมีตัณหาความทะยานอยาก โลกียปัญญาไง ปัญญาเกิดจากกิเลสมันเกิดขึ้นมาอย่างใด? ถ้ามันเกิดโลกุตตรปัญญาล่ะ? ผู้ที่ปฏิบัติ นี่บัณฑิตจะรู้ คนพาลไม่รู้ เวลาจิตมันพาลนะ มันพาลของมัน มันว่ามันรู้มาก มันเข้าใจมาก มันเข้าใจไปทุกอย่าง แล้วก็พูดเหมือนกัน พูดเหมือนกันทุกอย่างทำไมเราพูดผิด ทำไมครูบาอาจารย์ท่านพูดถูก

ถูกของท่านเพราะมันเป็นความจริงของท่าน เวลาถูกของเราคือจำมา ถูกของเรานะ เงินขอมา เงินที่ขอพ่อแม่มาเป็นเงินไหม? เป็น เงินที่เราแสวงหาของเรามาเองเป็นเงินไหม? เป็น แต่ที่มามันแตกต่างกัน ที่มาของการแบมือขอ เท่าไหร่มันก็ขอได้ นี่เวลาพ่อแม่ไม่ให้ก็บีบคั้นเอา ด้วยความผูกพันพ่อแม่ก็ควักให้ เท่าไหร่ก็หมด แต่ถ้าเราหาของเรามา เราเหนื่อยยากนะ โอ้โฮ ต้องกระเหม็ดกระแหม่นะ ต้องรู้จักประหยัดนะ รู้จักมัธยัสถ์ นี่ไงเราหาของเรามา

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเหมือนกันทำไมไม่เหมือนกันล่ะ? ไม่เหมือน ไม่เหมือนเพราะมันหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ ไม่เหมือนเพราะเราเหนี่ยวรั้งจิตเราไว้ไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นจริงของมันนะ มันเป็นจริงของเรา เราเหนี่ยวรั้งได้ เรามีสติ มีปัญญา นี่บัณฑิต ถ้าบัณฑิตแล้ว พอมีสตินะ คนเรามีสติมันก็มีปัญญา พอมีสติ ถ้าสติยับยั้งแล้วปัญญามันจะเกิด พอปัญญามันเกิดเราออกไปดำรงชีวิต

ถ้าเราดำรงชีวิต นี่มิตรแท้ มิตรแท้จะปกป้องเราต่อเมื่อเราพลั้งเผลอ มิตรแท้จะโต้แย้งต่อเมื่อเขานินทากาเล มิตรแท้ต่อหน้าลับหลังเขาจะดูแลเรา มิตรเทียม คนเทียมมิตร ต่อหน้าเขาก็หาผลประโยชน์กับเรา มิตรแท้ มิตรเทียม แล้วเราจะคบอย่างไร? เราอยู่กับโลกนะ มิตรแท้ เห็นไหม มิตรแท้นี้หาได้ยาก มิตรแท้จะเห็นได้ต่อเมื่อตกทุกข์ได้ยาก เขาจะไม่ทิ้งเรา เวลาไม่ทิ้งเรา แต่มิตรเทียม มิตรเทียม คนเทียมมิตร

นี่เวลาเราศึกษา เราบวชมาแล้วเราศึกษาเรื่องนี้ แล้วอารมณ์ความรู้สึกที่มันบอกว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ดี นี่มิตรเทียม มันจะหลอกให้หัวใจอยู่ในอำนาจของมันใช่ไหม? ปฏิบัติแล้วมันปล่อยวาง มันเป็นความว่าง มันเป็นความสุข มันเป็นความระงับ มันดีไปหมด มิตรเทียม มิตรเทียมเพราะอะไร? เพราะมันเกิดดับ มันไม่อยู่กับเราหรอก แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เราตั้งสติของเรา เรามีคำบริกรรมของเรา

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ”

ถ้าเรามีสติปัญญา เราบริกรรมของเราให้จิตมันไม่ฟุ้งซ่านไปข้างนอก ให้จิตมันเกาะพุทธานุสติไว้ นี่เหตุมันมีของมัน เราตีลูกเทนนิส คนฝึกหัดตีเทนนิส เขาจะตีเทนนิสเข้ากำแพง แล้วมันกระดอนออกมา เราก็ให้ตีเทนนิสของเรา นี่ไงเราพุทโธ พุทโธ เห็นไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธกั้นไว้ไม่ให้จิตมันออก มันถึงพุทโธมันก็กลับไปสู่จิต แล้วก็นึกพุทโธขึ้นมา พุทโธถึงกำแพงมันก็เข้าไปสู่จิต พุทโธ พุทโธ เราก็ตีลูกเทนนิสเข้ากำแพงเรื่อยๆ ลูกเทนนิสมันก็วิ่งเข้ามาหาเรา กระดอนเข้ามาหาเรา กระดอนเข้ามาหาเรา พุทโธ พุทโธ พุทโธจิตให้มันเข้ามาซับซ้อนอยู่ที่เรา ซับซ้อนอยู่ที่เรา

นี่ไงถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เวลาพุทโธจิตมันสงบขึ้นมา เรามีสติ มีปัญญานะ ถ้ามีสติปัญญาเราคัดแยกได้ นี่มิตรแท้ ถ้ามิตรเทียม เห็นไหม ความคิด ความต่างๆ ปัญญาของเรานี่มิตรเทียมทั้งนั้นแหละ มันเกิดดับ มันไม่เป็นความจริง พอไม่เป็นความจริงขึ้นมานะ พอคิดได้ เวลามีสติขึ้นมา อืม นี่ดีมากๆ เลยนะ แหม คราวนี้ปัญญาเกิดมานี่ประเสริฐมากเลยนะ สักพักหนึ่งเผลออีกแล้ว เอ้ เมื่อกี้มันเป็นอะไรเนาะ มันมาอย่างไร? แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ? นี่มิตรเทียม

เกิดดับ เกิดดับคือสัญญา คือขันธ์ ๕ คือจิตมันเสวยอารมณ์ แต่เราพุทโธ พุทโธ พุทโธของเราจนมันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันสงบระงับเข้ามา นี่มันเป็นความจริงของมัน มันเป็นความจริงของมัน มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก ถ้าเป็นสันทิฏฐิโก ถ้าเกิดสภาวะแบบนี้เห็นได้ แล้วพอเห็นได้ รู้ได้ จับได้ มันควบคุมดูแลจิตใจได้ ถ้ามันควบคุมจิตใจได้ นี่มิตรแท้

ถ้าเรามีมิตรแท้อยู่กับใจของเรา เห็นไหม เรามาบวช เรามาเรียนกันเพื่อความเป็นบัณฑิต ถ้าความเป็นบัณฑิต บวชเรียนแล้ว นี่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกมันระงับลง มันดีขึ้น สรรพสิ่งดีขึ้น เราต้องการให้ลูกเราเป็นบัณฑิต แต่ถ้าการเป็นบัณฑิต ความต้องการกับความจริงนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะมันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีของคน ถ้าอำนาจวาสนาบารมีของคน มันฝึกมันหัดของมันขึ้นมา ถ้ามันฝึกมันหัดของมันขึ้นมา มันเป็นขึ้นมา เห็นไหม

นี่เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่าเพราะสิ่งใด? เพราะสิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา ว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ใช่ มีอยู่โดยดั้งเดิม แต่เราไม่มีปัญญาไปเอามาหรอก แม้แต่มีคนคอยบอกคอยชี้นำนะ เราก็ยังทำของเราไม่ได้ ถ้าเราทำของเรา เห็นไหม นี่กิเลสมันจะทำให้เราไขว้เขวตลอดไป

คำว่ากิเลสนะ สิ่งที่เราไม่เคยรู้เคยเห็น สิ่งใดที่เรารู้เห็นนะเหมือนสามล้อถูกหวย นั่นเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมสามล้อถูกหวย เขาบริหารจัดการไม่เป็น ถ้าเขาบริหารจัดการไม่เป็น นี่สามล้อถูกหวยมันเป็นคำภาษิต ให้เห็นว่าสามล้อถูกหวย ดูสิเราเป็นคนทุกข์คนจน เวลาเราได้เงินทองกันมาเหมือนสามล้อถูกหวย นี่แล้วเราบริหารจัดการอย่างไร? แต่ถ้าสามล้อถูกหวยถ้าเป็นคนดีนะ เราเป็นสามล้อเราก็ทุกข์ยาก อาบเหงื่อต่างน้ำหาเงิน รู้จักเก็บ รู้จักสะสม รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักการรักษา นี่สามล้อก็เป็นคนมั่งมีได้

นี่ไงรักษาจิตของเรา ถ้าจิตของเรา เราดูแลของเรา เรารักษาของเรา เรากระเหม็ดกระแหม่ เราดูแลจิตของเรา เห็นไหม มีสติมีปัญญารักษาใจ คำว่ารักษาใจนะ เวลามันทุกข์มันร้อน หน้าที่การงานเราก็ทำของเรา แต่ถึงเวลาเราก็รักษาใจของเรา ถ้ารักษาใจของเรา ใครมันจะมีอำนาจเหนือสิ่งนั้นล่ะ? แต่ถ้ามันรักษาใจนะ โลกธรรม ๘ คำติฉินนินทาเหมือนเสาเข็ม มันปักเข้าไปที่หัวใจ เวลาติฉินนินทามานี่เจ็บปวดแสบร้อน ทุกข์ยากมาก เวลาเขาสรรเสริญนะเหมือนลมพัดลมเพ ลมพัดมาทีหนึ่งมันก็หายไป คำสรรเสริญอยู่กับเราแป๊บเดียว

แหม คนนู้นว่าเราดีนะ มีความปลื้มใจ เดี๋ยวเดียวนะ ลืมแล้ว แต่ถ้าคำเจ็บแสบปวดร้อน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดแล้วคิดเล่า เพราะอะไรล่ะ? เพราะโง่ไง ใครเป็นคนคิด? นี่มันก็คำพูดคำเดียวกัน เสียงก็คือเสียง คนพูดก็คือคนพูด แต่ทำไมเราตอกย้ำ ทำไมเราคิดของเราบ่อยล่ะ? นี่ไงขาดสติ เห็นไหม ถ้าเรามีสตินะ เสียงก็คือเสียง เสียงสักแต่ว่าเสียง ถ้าเสียงสักแต่ว่าเสียง เสียงใครเป็นคนพูด ถ้าคนรักพูด ฟังแล้วมันก็นุ่มนวล ถ้าคนเกลียดพูด คนที่เราไม่พอใจพูด คำพูดดีขนาดไหน คำพูดนั้นก็ไม่ดี นี่เสียง เสียงใครพูด? เสียงธรรมชาติ เสียงสิ่งใด?

ฉะนั้น คำว่าเสียง เห็นไหม ถ้าเรามีสติปัญญา แล้วมีสตินะ ถ้าเราไม่โง่ เราไม่โง่ซะอย่างนะ คำพูดมันตกอยู่ข้างนอก เวลาพราหมณ์นะ เขาไปต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนยังหนุ่ม อายุยังน้อยยังไม่เคารพพราหมณ์ นี่พราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่นะ โอ๋ย ไปต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งเฉย เขาบอกว่า

“ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รับรู้อะไรเลยล่ะ?”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามกลับนะ “พราหมณ์ ถ้าเขาเอาสำรับอาหารมาให้พราหมณ์ ถ้าพราหมณ์ไม่กิน สำรับอาหารเป็นของใคร?”

“ก็เป็นของคนนั้นที่เอามาไง”

นี่เวลาคำติคำชมของพราหมณ์ มันก็เหมือนสำรับอาหารที่พราหมณ์จะเอามา แต่ถ้าเราไม่รับรู้มันเป็นของใคร? ก็กลับเป็นของพราหมณ์ไง จะไปติฉินนินทาขนาดไหนก็ของพราหมณ์ พราหมณ์ก็ต้องเอากลับไป เห็นไหม ถ้ามีสติ เขาจะพูดขนาดไหน เขาจะว่าอย่างไรมันไม่มาถึงเรา นี่บัณฑิต ถ้าบัณฑิตเรารักษาใจของเราได้ ถ้าเรารักษาใจของเราได้ คำว่ารักษาใจของเราได้

“ความสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

จิตของเราถ้าฟุ้งซ่าน จิตของเราถ้ามีความบกพร่อง มันบกพร่องจากหัวใจของเรา พอมันบกพร่องจากหัวใจของเรา เราจะมีความทุกข์ พอเรามีความทุกข์ขึ้นมาเราก็จะมีความเศร้าหมอง เราจะมีความเศร้าหมอง เห็นไหม คนรอบข้างเห็นเราเศร้าหมอง คนรอบข้างก็ทุกข์ไปกับเรา เราทุกข์คนเดียวนะ มันจะลากให้ครอบครัวทุกข์ไปทั้งบ้านเลย แต่ถ้าเรามีความสุขคนเดียวนะ เราจะลากครอบครัวของเราไปมีความสุขหมดเลย

นี่คบบัณฑิต ถ้าบัณฑิตมันอยู่ที่นี่ รักษาที่นี่ได้ เห็นไหม นี่เรามาฝึกมาหัดกันก็เพื่อความดี ความงามของเรา ถ้าเรามีความดีความงามของเรา เราทำเพื่อเรานะ ถ้าทำเพื่อเรามันก็เป็นสมบัติของเรา ถ้าเราจะมีสมบัติ สมบัติของโลก สมบัติของโลกเป็นสมบัติสาธารณะ ใครมีปัญญาบริหารจัดการจะได้สมบัตินั้นมา แล้วสมบัตินี้ได้ใช้แค่ชีวิตนี้ สุดท้ายแล้วนะ เราไม่พรากจากเขา เขาก็ต้องพรากจากเราแน่นอน แต่สมบัติของเรามีหรือยัง?

สมบัติของเราคือปัญญาความรู้จริงในใจของเรา ถ้าเรามีความรู้จริงที่นี่นะ คนที่ประพฤติปฏิบัติมาถึงที่สุดแห่งทุกข์ เวลาจะเป็นจะตายเขาหัวเราะนะ นี่ในมหายาน เวลางานศพเขาไปร้องเพลงกัน พอไปร้องเพลงกัน เจ้าภาพเขาเห็นเขาตินะ บอกว่าทำไมพระทำแบบนี้ พระก็หัวเราะกันใหญ่เลยนะ เขาไปร้องเพลงแล้วก็หัวเราะกันใหญ่เลย เขาบอกว่า เออ พวกนี้ไม่รู้จักธรรมสมัยใหม่ เขาหัวเราะเพราะอะไร? เพราะคนตายกับคนเป็นมันก็มีค่าเท่ากัน

เรานะเวลาตายเราก็โศก เราโศก เราปวด เราเจ็บ เราช้ำใจนัก แต่คนที่เวลาเขาสิ้นสุดแห่งทุกข์นะ ตายหรือเป็นมันเป็นสมมุติ เพราะว่ากิเลสมันตายตั้งแต่หัวใจเราไปแล้ว มันไม่มีอะไรตาย แค่มันเปลี่ยนกิริยาเท่านั้นเอง จิตมันไม่มีวันตาย นี่เขาไม่เสียใจไง เขาไม่เสียใจ เขาไม่ตื่นเต้น เขาร้องเพลงนะ นี่ในมหายาน เวลาไปงานศพเขาร้องเพลง เห็นไหม ร้องเพลงกัน แล้วชาวบ้านเขาว่าทำไมไม่โศกไม่เศร้าล่ะ?

โอ้โฮ ถ้ามันโศกมันเศร้านั่นมันเป็นเรื่องของโลก นี่ธรรมะสมัยใหม่ พอธรรมะสมัยใหม่ เขาว่านี่ใช้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง แต่คำว่าไม่ถูกต้อง ถูกต้องของเขา ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา เราต่างหาก เราเป็นคนพาล ตกอยู่ในอำนาจของพาล พาลคือความไม่รู้ มันเหยียบย่ำหัวใจ แล้วก็เศร้า แล้วก็โศก แล้วก็ทุกข์ แล้วก็ยาก แล้วอวดตัวว่าเป็นบัณฑิต คนที่เป็นบัณฑิต เห็นไหม เขามีสติ มีปัญญาของเขา สิ่งใดเกิดขึ้น มันเป็นของมันโดยสัจจะความจริงของมัน เรามีสติปัญญาของเรา นี่บัณฑิตเขาเป็นกันที่นี่ บัณฑิตเขาเป็นกันที่มีปัญญา มีความรอบรู้ เอาตัวรอดของเราได้

ฉะนั้น อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราจะไม่คบคนพาล เราจะคบบัณฑิต เราจะไม่คบความคิดของตัณหาความทะยานอยาก สมุทัย เราจะคบแต่ปัญญา เราจะคบแต่สิ่งที่เกิดขึ้น สัจจะความจริงที่เราฝึกเราฝน ปัญญาจะเกิดขึ้นจากการฝึกการฝน นักกีฬาที่เขาจะมีกำลังของเขาได้เพราะเขาฝึกของเขา เราจะมีปัญญาขึ้นมา นี่ทำบุญแล้วนะก็อยากจะฉลาด อยากฉลาด ไม่อยากพูดเดี๋ยวแรง...

ทำบุญแล้วอยากฉลาดมาก แล้วไม่ฝึกไม่ฝนมันจะฉลาดมาจากไหนล่ะ? ทำไมไม่หัดฝึกคิด ฝึกแยกฝึกแยะอะไรผิดอะไรถูกล่ะ? เราไปทำผิดทำถูกนั่นแหละมันจะมีปัญญาตรงนั้นแหละ ที่อะไรมันผิด มันผิดมาเราก็ไม่ควรทำ ถ้ามันถูกเราก็ขยันหมั่นเพียร นี่เราทำของเรา แล้วพอทำขึ้นมาแล้วมันก็เห็นผล ทำความถูกต้องดีงามแล้วมันก็ดี ทำความผิดแล้วมันก็มีแต่ความทุกข์ นี่มันเห็นผลขึ้นมามันก็มีแต่ความเชื่อมั่น มันก็ยิ่งมั่นคง มันก็ยิ่งฉลาดขึ้นๆ มันต้องฝึกต้องฝน ทุกอย่างเกิดจากการฝึกฝน

ช้างป่านะ เขาเอามาฝึกหัดนะ เขาเอามาใช้ลากซุง มันตัวใหญ่กว่าคนมหาศาลเลย เขายังเอามาฝึก เอามาใช้งานได้ แล้วเราว่าเราเป็นบัณฑิต เราเป็นคนดี เรามีหัวใจอยู่ในหัวอกของเรานี่ แต่เราปล่อยให้มันขี่เรา ปล่อยให้หัวใจของเราเหยียบย่ำเราเอง ปล่อยให้หัวใจทำให้เราทุกข์ยากเอง ไม่รู้ว่าใครเป็นบัณฑิต ใครเป็นคนพาลเนาะ เราจะคบบัณฑิต เห็นไหม

นี่เรามีลูกมีหลาน เราก็อยากให้ลูกหลานเราฉลาด เรามีลูกมีหลาน เราก็เอาลูกหลานมาบวชมาเรียน พอมาบวชมาเรียนแล้ว นี่บวชเรียนแล้วเราต้องฝึกหัด ถ้าเขาฝึกหัดใช้ปัญญาเป็นออกไปนี่ฝึกหัด โลกเขาบอกว่าถ้าคนไม่ได้บวชเป็นคนดิบ ถ้าบวชแล้วเป็นคนสุก สุกเพราะได้ฝึกหัด ได้มีวิชา ได้มีปัญญา ได้มีความรอบรู้ เขาจะได้พาครอบครัวของเขาไปด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ไปด้วยความร่มเย็นเป็นสุขของโลกๆ เขานะ เพราะความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ และทุกข์ดับไป เอวัง